เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเกิดมาในโลกนี้ เห็นไหม ความเป็นอยู่อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย โลกนี้ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ปัจจัย ๔ บ้าน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ปัจจัยนี่ขาดไม่ได้ เครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยนะ ชีวิตนี้ต้องอาศัยสิ่งนี้ดำรงชีวิตไป แล้วเราก็ไปตื่นที่เครื่องอยู่อาศัย
เราดูนะ เวลาสัตว์ถ้ามันจะพลัดพรากนะ ดูสิมันอยากตายไหม มันไม่อยากตายหรอก เพราะการตายของมัน เห็นไหม เนื้อมันเป็นอาหารนะ เขาเอาเนื้อมาเป็นอาหาร แต่มันอยากตายไหมล่ะ?
ดูนะ คนเรานี่รักกัน คนเรามีความผูกพันกัน จะพลัดพรากจากกันเรายังเสียใจเลย นี้ความเสียใจนะ ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ มีรักเพราะอะไร เพราะเรารักเราสงวนของเรา แต่มันต้องพลัดพรากนะ
แต่ขณะที่เราต้องตาย จิตนี้พลัดพรากจากกาย ความรักตนนี่สำคัญที่สุดเลย เรานี่รักตนมาก แล้วเราก็ประมาทในตนนะ ประมาทในตนเพราะอะไร เพราะพวกเรานี่ตาบอด ตาใจบอด ตานี่ตาบอดตาใส เกิดมาแล้วทุกคนจะหาที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นมาทุกคนจะหาความสุข หาความสุขก็พยายามจะหากันไป หาแต่เรื่องข้างนอกนะ
สิ่งนั้น.. ฟังว่าคำว่า อาศัย เรียกว่าโลก โลกไง โลกต้องมี ใช่ โลกต้องมี เราต้องมีที่ยืน เราจะต้องมียืนในสังคม เราจะต้องไม่อายใคร เราต้องยืนได้ อันนั้นมันเป็นการกระทำนะ ดูสิ ถ้าเรามีลูกมีเต้าของเรา ลูกบางคนก็อยู่ในโอวาทเรานะ ลูกบางคนก็ไม่ฟังเรา ลูกบางคนก็ทำดีกว่าเรา ดีที่พ่อแม่สั่งก็มี
อันนี้เราจะบอกว่ามันเป็นกรรมไง กรรมนะ เด็กมันเกิดมาดี มันจะเป็นดีของมัน เด็กเกิดมาไม่ดีหรือเด็กเกิดมาสภาวะแบบนั้น มีกรรมร่วมกันมา เราก็พยายามอบรมบ่มเพาะให้มันดีขึ้นมา ถ้าดีขึ้นมานะ ก็กรรมดีกรรมชั่ว มันมีเบื้องหลังมีกรรมด้วย ไม่ใช่ว่าในปัจจุบันอย่างนี้
เราเข้าใจว่าคนเราเป็นวัตถุไง ทุกคนจับแต่งจับต้องได้แล้วมันจะดีไปหมดไง แต่ความเห็นจากเบื้องหลัง เห็นไหม เบื้องหลังคือสิ่งที่เป็นกรรมเป็นเวรอันหนึ่ง เบื้องหลังจากกิเลสคือมันชอบมันต้องการสภาวะแบบนั้นหนึ่ง เห็นไหม นี่คือเรื่องของกรรม ถ้ากรรมเกิดมาสภาวะแบบนี้ นี่เรื่องของจิตใจไง
เรื่องของจิตใจ เรื่องของโลกคือเรื่องของสิ่งที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ที่จับต้องได้ ขนาดวิทยาศาสตร์นะ ยังมีการแข่งขัน ยังมีการต่อสู้กัน ในทางธุรกิจการต่อสู้กัน เห็นไหม ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา หยุดนิ่งไม่ได้ ถ้าหยุดนิ่งเขาตามทันขึ้นมา นี่แข่งขันกันจนเป็นที่สุด นี่ทุนนิยมนะ
สังคมนิยม เห็นไหม ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน ต้องมีการช่วยเหลือเจือจานกัน ก็นอนจมอีกนะ เพราะเรามีอยู่แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าสังคมนิยม ถ้าคนหัวใจมันไม่เป็นสังคมนิยม มันจะเอารัดเอาเปรียบเขา มันก็จะนอนเอาเปรียบหมู่คณะ แต่ถ้าเป็นสังคมนิยมเพื่อหมู่คณะ ดูสิ ดูที่ว่าทำเพื่อสังคมๆ นั่นเป็นสังคมนิยม สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเกี่ยวกับกิเลสไง เกี่ยวกับความยึดของคน
แต่ถ้าเราล่ะ เรื่องของธรรมนี่มันเรื่องย้อนกลับมาตรงนี้ ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้ สิ่งที่เกิดมา เกิดมาเพื่อให้ทำดีและทำชั่วนะ สิ่งที่ทำดีทำชั่วมันจะซับสมไปที่ใจ เพราะอะไร ความลับไม่มีในโลก เราคิดอะไร เราทำอะไร เรารู้ของเราหมด เห็นไหม เจตนาที่ทำบุญทำกุศล แล้วบุญกุศลมันเกิดจากอะไร เกิดจากศรัทธาความเชื่อ
ถ้าเราไม่มีศรัทธาความเชื่อ คนเราไม่มีศาสนา ทำดีก็คือดี สัตว์.. ถ้ามันทำดีของมัน มันก็ได้รับผลดีของมัน สัตว์มันดีนะ สัตว์บางตัวมันก็รังแกคน มันก็เก๊ สัตว์บางตัวมันก็มีเมตตาของมัน มันก็ช่วยเจือจานกัน นี่ทำดีหรือชั่ว เขาได้โดยเนื้อหาสาระของเขา แต่เนื้อหาสาระอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของโลกๆ คือว่าเรื่องของปรัชญาที่สามารถที่เราจะจินตนาการได้ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกลับกว่านั้นมหาศาลเลย มหาศาลตรงไหน มหาศาลตรงที่ว่ามันจะรู้ตัวมันเอง รู้ตัวมันเองนี่เป็นวิปัสสนาแล้วหรือ?
ยังเลย รู้สึกตัวเอง เห็นไหม รู้สึกตัวเองนี่มันจะสลดสังเวชนะ เช่น เราคิดถึงความตาย มรณานุสติ เห็นไหม คิดถึงความตายๆ บางคนคิดความตายแล้วมันเศร้าหมอง มันไม่อยากทำอะไรเลย อันนี้มันก็เป็นกิเลสมันมาครอบงำ แต่ถ้าคิดถึงความตาย เห็นไหม คนเราต้องตาย มันจะไม่เหิมเกริมจนเกินไปนะ ถ้าเราจะตาย เราทำอย่างไรที่จะเป็นประโยชน์อะไรกับเราขึ้นมา
มรณานุสตินี่รู้จักตนเอง ต้องรู้จักตนเองก่อน รู้จักตนเองแล้วเอาตนเองแก้ไขตนเองไง การแก้ไขตนเองน่ะเป็นวิปัสสนา ถ้ายังไม่ได้แก้ไขตนเอง การรู้ตนเองนี่มันเป็นพื้นฐานไง เป็นพื้นฐาน เป็นสถานที่รองรับ
ดูนะดูเขาเล่นกีฬากันนะ เวลาเขาเล่นกีฬากัน เวลานักฟุตบอล เวลาฝนตก เวลาหิมะตก เขายังยกเลิกเกมนั้นเลยเพราะอะไร เพราะมันแข่งขันกันไม่ได้ เห็นไหม เขายังต้องเลือกสถานที่ของเขา
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ มันจะมองถึงว่าเราจะเลือกอะไร ในโลกนี้จะเลือกอะไร เราจะเลือกปัจจัยเครื่องอาศัย คำว่า ปัจจัย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นปัจจัย มีก็ได้ ขาดแคลนก็ได้ แต่ชีวิตนี้มันมีอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้าและไม่หายใจออกมันก็ต้องตาย สิ่งที่หายใจนะ ชีวิตเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายเลย แล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจนหมอกำหนดว่าอีกกี่วันตาย เรายังเพลิดเพลินอยู่นะ แต่ถ้าหมอกำหนดว่าอีกกี่วันตาย จะคอตกเลยนะ ชีวิตนี้มันจะเหมือนกับโลกนี้ปิดมืดไปหมดเลยเพราะอะไร เพราะมันกลัวตายไง มันกลัวการพลัดพราก มันกลัวจิตนี้มันต้องเป็นสภาวะแบบนั้นไป
แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ นี่ธรรมมันเกิดขึ้นมา ดูสิ ดูเวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ยังสะเทือนใจมากนะ แล้วเราจะต้องตายไป เราจะมีอะไรติดมือไป เห็นไหม ถ้าเราทำคุณงามความดี ดีก็คือดีไปกับใจ ชั่วก็คือชั่วไปกับใจ สิ่งที่ทำชั่ว เห็นไหม บอกทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
ทำชั่วเหรอ เขาทำชั่วของเขา เขาได้ดี ดีตรงไหน ก็เบียดเบียนคนอื่นเขาจะมีความสุขที่ไหน ใจเขาเร่าร้อนนะ กลัวแต่เขาจะตามทัน กลัวแต่เขาจะมายึดทรัพย์ กลัวแต่เขาจะรู้ไปหมดล่ะ มันก็ต้องปกป้องไว้ อยากได้ปัจจัยของเขา อยากได้สิ่งต่างๆ ของโลก สมบัติของโลกยึดว่าเป็นของตัวเอง แล้วก็คิดคดโกงเขา
สิ่งนั้นมันเป็นความสุขที่ไหน มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่กิเลสมันหลอกไง กิเลสมันหลอกบุคคลคนนั้นให้ทำสภาวะแบบนั้น แล้วมันจะได้ความดีของมัน เห็นไหม มันได้มา เราเห็นว่าเขาได้ลาภสักการะตามแต่เขาฉ้อโกงมา แต่ความทุกข์ของเขาเต็มหัวใจนะ เต็มหัวใจ อันนี้เป็นความทุกข์ในปัจจุบันนะ
แล้วคนที่มันเป็นกรรม หัวใจที่มันหนักเหมือนก้อนหิน ก้อนหินเราโยนลงไปในน้ำ มันจะจมน้ำทันทีเลย สิ่งที่มันเป็นของเบา เราโยนไปอย่างปุยนุ่น ลมพัดมันจะลอยไปเลย หัวใจที่มันกดถ่วง เวลาความโกรธขึ้นมา หัวใจมันหนักหน่วงนัก เวลาไปโกงเขา ไปทำลายเขา ไปทำสิ่งที่ว่าเราเป็นทำชั่วได้ดี ทำชั่วได้ดี มันเศร้าใจ มันทุกข์ใจนะ ทุกข์ใจกลัวแต่เขาจะรู้ แล้วสิ่งนี้มันเป็นในหัวใจนะ
คนที่เขาทำกรรมไว้ เวลาเขาถึงจะหมดอายุขัย เขาจะเห็นกรรมนิมิตนะ ถ้าคนทำคุณงามความดี เขาจะเห็นรถม้า เขาจะเห็นสิ่งที่ว่าเป็นรถทิพย์มารับเขาขึ้นไปเลย ในพระไตรปิฎกก็มี ในปัจจุบันก็มี อย่าเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เจริญแล้วจะไม่มีสิ่งนี้นะ สิ่งนี้มีเพราะอะไร
เพราะถ้ายังมีความรู้สึกอยู่ ยังมีตาของใจอยู่ ไม่ใช่ตาเนื้อนะ ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ตาเนื้อมันเห็นแต่อากาศ แล้วตาเนื้อมันยังฝ้าฟางได้ เวลาตาของเราพิการเราต้องไปรักษานะ แต่ตาของใจนี่มันใสตลอด ตาบอดมันก็ใส คนตาบอดแต่ตาใจเปิดขึ้น อย่างพระจักขุบาล เห็นไหม เวลาภาวนาไปเจ็บไข้ได้ป่วย หมอบอกต้องนอนนะ ถ้าไม่นอนนี่ตาจะบอด
แต่ด้วยที่ว่าตัวเองเป็นคนอุกฤษฏ์นะ ถ้าตาจะบอดนะ ธรรมะมันเกิดในหัวใจไง เรานี่เกิดตายเกิดตายมากี่ภพกี่ชาติ คนเรานี่เชื่อในธรรม เห็นไหม มีคนเกิดคนตาย เราเกิดมาได้ดวงตาอย่างนี้มากี่ภพกี่ชาติแล้ว แต่ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พบธรรมนี่ มันน้อยโอกาสนัก ถึงฝืนนั่งไปนะ
ถึงที่สุดนะ ตาบอดพร้อมกับกิเลสขาดไปจากหัวใจ ผ่องใสในหัวใจนะ รับรู้ไปหมด สิ่งต่างๆ นี่ โลกธาตุหลอกลวงอะไรสิ่งใดไม่ได้เลย ถ้าตาของใจมันสว่างไสวขึ้นมา นี่ตาจากภายใน ถ้าตาจากภายใน ตาของใจมันเห็นของมัน เห็นไหม เจตนามันสะสมมาอย่างนี้ สะสมไปๆ แล้วมันสะสมลงที่ใจ อันนั้นเป็นบาปเป็นกุศล มันหมุนไปในวัฏฏะ นี่ธรรมอย่างหยาบๆ
ถ้าธรรมอย่างละเอียดขึ้นมานะ มันจะบอกเลยว่าสิ่งนี้ควรทำและไม่ควรทำ ควรทำและไม่ควรทำเห็นไหม จิตเป็นปกติแล้ว จิตที่มันจะไปเอาของคนเขา มันทำไม่ได้หรอก สิ่งนี้ของเขา แต่ถ้ามันเป็นโดยธรรมชาติ มันเป็นโดยบุญกุศล มันเป็นโดยธุรกิจโดยปกติ มันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องของคุณงามความดี
งานนะ คนเราเกิดมาต้องมีงานทำ เห็นไหม งานของร่างกายคืองานของความคิด งานของสมอง ในสังคมนิยมเขาบอกเลยแหละ แรงงานสมองแรงงานกาย แรงงานของกายนี่ กรรมกรแบกหามนี่เสมอภาคเป็นสหายกัน แต่ถ้าผู้บริหารล่ะ เอารัดเอาเปรียบเขา แรงงานสมอง แรงงานสมองต้องได้ ๒ เท่า ๓ เท่า มันผู้บริหารไง นี่แรงงานของเขา
นี่มันสมมุติ สมมุตินี่มันสามารถ มันจะสมมุติอย่างไรก็ได้เพื่อจะเอาเปรียบเขา มันสมมุติได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเสมอภาคๆ ภาคที่ไหน เสมอภาค ภราดรภาพ หัวใจเวลาสิ้นเป็นพระอรหันต์นะ เหมือนกันทั้งหมดเลย ใจนี่มันปลดเปลื้องไปทั้งหมด ปลดเปลื้องหมด สิ่งที่ปลดเปลื้องไป เห็นไหม
สนามที่เราจะเลือกเล่นนะ เราจะเลือกเล่นแบบเด็กๆ ที่มันเล่นกันข้างถนนก็ได้สนามฟุตบอล มันสมมุติก็เป็นสนามฟุตบอล มันก็เล่นกันได้ แต่ถ้าเกมใหญ่ๆ ของเขา เขาต้องสนามที่มีมาตรฐาน
นี่ก็เหมือนกัน เราไปอยู่ในหมู่คณะไหน หมู่คณะที่เขาเล่นกันเป็นโดยสมมุติ เห็นไหม เด็กมันเล่นขายของกัน มันก็ทำธุรกิจกันนะ ดูสิเกมต่างๆ มันเล่นกันได้ทั้งนั้นล่ะ แล้วเราทำธุรกิจจริงๆ ขึ้นมาล่ะ แล้วก็จริงๆ ขึ้นแล้ว เขายังโกงบริษัทกัน เห็นไหม ด้วยกฎหมาย เขาโกงกัน เขาฉ้อโกงกัน ยกบริษัทไปเลย ทั้งที่เราทำมากับมือ ทำไมเขาฉ้อโกงเราไปได้ล่ะ?
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราจะเล่นเกมไหน เกมของเรา เห็นไหม เกมที่ว่าอยู่สุขอยู่สบาย นี่เราว่าสุขสบายไง สุขสบายโดยความคิดนะ แต่หัวใจนี่นอนนะ คนเรานะให้นอนไม่ทำอะไรเลย นอนได้ไหม? เป็นไปไม่ได้หรอก คนเรามันต้องเคลื่อนไหว มันต้องเป็นไปธรรมชาติของมัน แต่กิเลสในหัวใจมันบอกว่าสิ่งนี้ลำบากๆๆ ลำบากไปหมดเลย มันจะพอใจของมันนะ มันจะนอนก็นอนไม่ได้นะ เพราะมันนอนแล้วมันก็ทุกข์ยากของมัน
นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัตินะ เราจะเอาอะไร ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ มันต้องมีสติมันต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหว เห็นไหม สติพร้อมขึ้นไป ทุกอย่างพร้อม การเคลื่อนไหวพร้อม มันก็ย้อนกลับมาใจของเรา ถ้าย้อนกลับมาใจของเรา ตรงนี้มันจะแก้ไข
งานในศาสนา เห็นไหม เวลาพระบวชทุกองค์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน ๕ กรรมฐาน ๕ ฐานที่ตั้งของการงาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี่ สัตว์มันก็มี ใครมันก็มี ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ใครไม่มีเหรอ? แต่หัวใจที่ไปรู้มันไง เพราะอะไร เพราะคนบวชใหม่เหมือนเด็กอ่อนใช่ไหม? เหมือนเด็กอ่อน เหมือนเด็กพึ่งคลอดเลย เด็กคลอดมามันเลี้ยงตัวเองได้ไหม? พ่อแม่ต้องบำรุงรักษามันใช่ไหม?
นี่ก็เหมือนกัน คลอดออกมาจากอุปัชฌาย์นี่ไม่รู้อะไรเลย แต่ทำผิดไม่ได้นะ เพราะอะไร เพราะอุปัชฌาย์บอก นิสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ ถ้าทำแล้วมันขาดเลย เหมือนเราคลอดลูกออกมา ถ้ามันไม่หายใจ มันก็ตายเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำอาบัติปาราชิกมันก็ขาดเลย ขาดจากพระเลย เห็นไหม แต่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี่ให้ฝึกฝนๆ ขึ้นมา อะไรฝึกฝนมัน? ใจไปเห็นฝึกฝนมัน ตาเนื้อเห็นมันนะ ทุกคนตาเนื้อเห็นกาย ขน ผม เล็บ ฟัน หนังทั้งนั้นล่ะ แต่เห็นแล้วมันเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา? แต่ถ้าตาใจมันเห็นนะ มันจะขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนหัวใจมาก
อริยสัจมันอยู่ที่ใจ ความรู้มันอยู่ที่ใจ ทุกข์มันอยู่ที่ใจ สถานะ เห็นไหม ถึงว่าต้องรู้ตัวตนก่อน เห็นตัวตนก่อน แล้วพยายามพิจารณาตรงนี้เข้ามา นี่เป็นงานจากภายใน
นี่ที่ว่าเกิดแล้วตายๆ การที่พลัดพราก อะไรพลัดพราก? ถ้ามันชำระกิเลสแล้ว มันไม่มีอะไรพลัดพรากหรอก มันสิ่งต่างอันต่างจริง กลับไปอยู่สถานะเดิมของเขาคือตามความเป็นจริงไง ดิน น้ำ ลม ไฟก็จริงของเขา จิตก็จริงของเขา แต่นี่มันไม่จริง เพราะมันไม่จริง มันมีกิเลสเข้ามา มันถึงไปยึดไปโกงไว้ทั้งหมดเลยนะ เกิดตายเกิดตายแล้วก็ทุกข์ยากๆ ตลอดไป
นี่คือการพลัดพราก เราจะไม่มีการเกิดและการตาย มันจะรู้เข้าใจตามกติกา แต่ถ้าคนไม่เชื่อ การเกิดและการตายไม่มี เกิดแล้วก็แล้วกัน ทำแล้วแต่สุขสบายของเรา เรื่องของกิเลสของเรา ตามพอใจของเรา อันนั้นเป็นความคิดของกิเลสนะ
นี่มันถึงว่าเกิดพบพระพุทธศาสนา แล้วจะใช้ศาสนาเพื่ออะไร เราจะตักตวงเพื่ออะไร เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เราเข้าไปในธนาคาร เราอยากได้เบิกเงินมากที่สุด กี่พันล้านเราจะเบิกให้หมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราเข้าไปศาสนา มรรคผลนิพพานนี่สุดยอดที่สุดเลย แต่ไม่อยากเอาเลยนะ ไม่อยากต้องการ ไม่ต้องการเลยเพราะมันทำยากทำลำบาก เห็นไหม เวลาเงินทองต้องการเพราะอะไร เพราะมันเป็นสมมุติที่จับต้องได้ เวลาสิ่งที่เป็นคุณงามความดีในหัวใจ มันจับต้องได้โดยสันทิฏฐิโกคือจิตสัมผัส ถ้าจิตสัมผัสไม่ได้ จิตไม่รู้จักความเป็นจริง จิตนั้นมันจะพ้นจากกิเลสได้อย่างไร?
ถ้าเพราะเรา เราจับต้องไม่ได้ เราไปคาดไปหมายกันเอง เห็นไหม เราเดินผ่านธนาคาร ในธนาคารมีเงินหลายหมื่นหลายแสนล้าน เห็นไหม เงินของใคร? เงินของธนาคารเขา เราเป็นพนักงานอยู่ในธนาคารนั้น เราก็นับเงินของคนอื่นทั้งหมดเลย
นี้เกิดมาในศาสนาพุทธ รู้ธรรมๆ รู้โดยแก้กิเลสไม่ได้ไง ถ้ามันรู้โดยแก้กิเลส เงินของเราทั้งหมด ธรรมของเราทั้งหมด หัวใจเราทั้งหมด แล้วมันจะเข้าใจว่าชีวิตนี้ไม่มีการเกิดและมีการตาย มันคงที่ของมันตลอดไป เพราะสิ่งที่มีก็ต้องมีตลอดไป ความรู้สึกมีก็ต้องมีตลอดไป แล้วถ้ามันเข้าใจแล้ว มันจะมีความสุขตลอดไป
สิ่งนี้มหัศจรรย์ แล้วอยู่ในร่างกายของเรา สิ่งที่ร่างกายของเรา เห็นไหม เพราะมันเป็นความรู้สึก ใจนี้อาศัยร่างกายนี้เจริญเติบโตมา แล้วศึกษาเข้ามาถึง ถ้ามีปัญญาเข้ามาจะเป็นประโยชน์ นี่ศาสนาสอนอย่างนี้
เรื่องปัจจัย เรื่องข้างนอกถึงเป็นการห่อหุ้ม เหมือนต้นไม้มีเปลือก มีแก่น มีกระพี้ นี่เราก็บำรุงรักษามันไป แต่สิ่งนี้เราไม่ไปตื่นกับมันนะ อยู่กับเขาโดยเข้าใจว่าสิ่งนี้ห่อหุ้มเพื่อการดำรงชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่อยู่กับเขาเอาเขาเป็นแกนนำ เอาเขาเป็นใหญ่ แล้วเราจะเป็นขี้ข้าเขา ไม่ใช่หรอก! ธรรมเหนือโลกทั้งหมด เอวัง